หนุ่มโดน การ์ดร้านอาหาร บุรีรัมย์ รุมกระทืบเสียชีวิต

หนุ่มโดน การ์ดร้านอาหาร บุรีรัมย์ รุมกระทืบเสียชีวิต

ไม่มีใครคาดคิดว่าการสั่งลากิจกรรมหนึ่งจะเป็นการสั่งลาไปตลอดชีวิต กับการที่หนุ่มรายหนึ่งโดนกลุ่ม การ์ดร้านอาหาร จ. บุรีรัมย์ รุมกระทืบจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา (4 ก.ค. 2565)  นางบุญร่วม มาตย์โพนทอง อายุ 62 ปี ชาว อ.หนองกี่ จ. บุรีรัมย์ พร้อมกับครอบครัว ได้เดินทางมาเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ. ทองสุข โปร่งทะเล รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.หนองกี่ ให้ดำเนินคดีกับ การ์ดร้านอาหาร แห่งหนึ่งในอำเภอเดียวกัน หลังจากที่ได้ก่อเหตุรุมทำร้าย นายไพฑูรย์ มาตย์โพนทอง อายุ 36 ปี ลูกชายของผู้แจ้งความ จนบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 

ซึ่งนายไพฑูรย์ ได้กล่าวลาเพื่อไปงานศพของเพื่อที่รู้จักกัน และมีการแวะไปเที่ยว ณ ที่เกิดเหตุก่อน เจ้าตัวได้มีการพูดหยอกเล่นว่า “จะไปเที่ยววันสุดท้ายแล้ว” โดยที่ตนไม่ได้คิดว่าจะเป็นเหมือนลางบอกเหตุ

จนถึงเวลาตี 2 กว่า ๆ ของวันที่ 1 ก.ค. 2565 ก็ได้รับโทรศัพท์มาว่าลูกชายถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยในภายหลังจากนั้นอีก 2 วันก็ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากสภาวะเลือดคลั่งในสมอง ซึ่งตนเองนั้นก็มีความเสียเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งไม่คาดคิดว่าลูกจะจากไปเร็วเช่นนี้

ทางด้านของ น.ส.ส้มลิ้ม มาตย์โพนทอง อายุ 29 ปี น้องสาวผู้เสียชีวิต ได้ให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินการในคดี เนื่องจากกังวลว่าคดีนี้จะถูกละเลย และผู้เสียชีวิตจะไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยตนได้รับทราบจากผู้เห็นเหตุการณ์ว่า พี่ชายโดนการ์ดรุมทำร้าย ซึ่งก็ไม่ใช่หน้าที่ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของพื้นที่ควรกระทำ ทั้งนี้ที่น่าสงสารที่สุดก็คือการที่หลานทั้ง 2 คน ต้องมากำพร้าทั้งพ่อ และก็แม่ที่ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้

ในส่วนของผู้อยู่ในเหตุการณ์อย่าง นายพร้อมพงษ์ บรรดาศักดิ์ อายุ 37 ปี เพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันนั้น ก็ได้เล่ามาว่า ตนเองได้นั่งอยู่คนบะโต๊ะกับผู้เสียชีวิต โดยเวลาผ่านไปซักพักหนึ่งก็ได้เห็นว่าเพื่อนมีปากเสียงกับการ์ดของทางร้าน และมีการท้าต่อยตีกัน และในเวลาต่อมาก็มีการ์ดคนหนึ่งได้ใช้อาวุธปืนข่มขู่ไม่ให้คนอื่นขัดขวางการวิวาทดังกล่าว ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการรุมกระทืบผู้เสียชีวิตจนเป็นเหตุนำไปสู่การเสียชีวิตในท้ายที่สุด ทั้งนี้แล้วนั้น ทั้งตนเอง, ผู้เสียชีวิต และตัวการ์ดที่ทำร้ายร่างกายนั้น ก็รู้จัก และเป็นเพื่อนกัน แต่ไม่คาดคิดว่าจะลงมือแบบไม่ยับยั้งชั่งใจจนถึงขั้นเสียชีวิตกันได้

ในส่วนของรายงานที่ว่าด้วยเรื่องการยกเลิกการสวมหน้ากากในพื้นที่สาธารณะนัั้น พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า เป็นเพียงแผนที่เตรียมรองรับ ในกรณีการประกาศเป็นโรคทั่วไป แต่ส่วนตัวยังเห็นว่าหน้ากากอนามัยเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการป้องกันโรคในปัจจุบัน จนกว่าจะมีการประกาศว่าสถานการณ์ของโรคมีความปลอดภัย ซึ่งยังเป็นเรื่องในอนาคต

JSL แถลงปมเรื่อง เงินชดเชย ชี้ 16% เป็นแค่งวดแรก ยืนยันจะชดเชยส่วนที่เหลือ

JSL แจงปมเงิน ชดเชย 16% ว่าแค่งวดแรก เพื่อบรรเทาความลำบาก ยืนยันจะหามาเพิ่มให้อีก 9% ในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ จากกรณีที่มีอดีตพนักงาน JSL Global Media บริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ที่ปิดการดำเนินการบางส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้ออกมาร้องเรียนเรื่องเงินชดเชยที่เผยว่าได้รับแค่เพียงแค่ร้อยละ 16 จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปก่อนหน้านี้นั้น

ล่าสุดทาง JSL Global Media ได้ออกมาแถลงในประเด็นเรื่องเงินชดเชยผ่านเฟซบุ๊กว่า “เรื่องเงินชดเชยของพนักงาน ทางบริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจและยังมีความตั้งใจที่จะจ่ายให้ครบจำนวนตามที่กฏหมายกำหนดไว้ แต่เนื่องด้วยภาวะการขาดกระแสเงินสดฉับพลันและยังไม่สามารถหาเงินมาให้ทันกับค่าชดเชยที่ต้องจ่ายเมื่อปวันที่ 30 มิถุนายน ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องแจ้งพนักงานทุกคนตามความเป็นจริงเรื่องจำนวน % ที่บริษัทสามารถจ่ายให้ได้ ณ วันนั้น อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องเงินชดเชยที่ขาด และได้พยายามหลายวิธีการเพื่อหาเงินมาจ่ายให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด เพราะทราบความเดือดร้อนของพนักงานทุกคน ตามกระบวนการที่ควรจะเป็นคือบริษัทและพนักงานต้องมีการคุยเจรจากันก่อนที่จะไปถึงกระบวนการของสำนักงานแรงงาน แต่ด้วยข้อจำกัดที่บริษัทมีขณะนั้น เราจึงไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดการจ่ายชดเชยที่เหลือได้ ทางบริษัทต้องขออภัยในความล่าช้าและทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจนเกิดเหตุการณ์ตามข่าว ทางบริษัทขอชี้แจงกระบวนการการจัดสรรงบประมาณในการจ่ายชดเชยที่จะมีการดำเนินการต่อไปดังนี้

จากเงินชดเชยทั้งหมด 32 ล้านบาท เราได้แจ้งพนักงานไปแล้วว่าในวันที่บริษัทปิดกิจการลง เราสามารถจ่ายชดเชยให้ได้ในจำนวน 16% ของยอดทั้งหมดซึ่งเป็นยอดกว่า 5 ล้านบาท เราจึงขอให้พนักงานมารับงวดแรก 16% นี้ไปก่อนเพื่อบรรเทาความลำบากของทุกคน

และในสิ้นเดือนก.ค. นี้ ทางบริษัทจะหาเงินมาเพิ่มให้อีก 9% รวมของเดิมจะเป็น 25% ของยอดชดเชยทั้งหมด หลังจากนั้น ทุกๆสิ้นเดือน บริษัทก็จะพยายามหาเงินมาจ่ายชดเชยให้ต่อไปอีกตามกำลังที่มี

ทางบริษัทยินดีพูดคุยเพื่อหาข้อสรุปให้เหมาะสมที่สุดที่เป็นไปตามกระบวนการของกฏหมายแรงงานทุกประการ จึงขอความร่วมมือจากพนักงานทุกคนในการเข้ามาร่วมเจรจาหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อพวกเราทุกคนจะได้เดินหน้าต่อและไม่มีความบาดหมางใจต่อกัน บริษัทไม่เคยมีเจตนาที่จะละทิ้งความรับผิดชอบต่อพนักงานทุกคน แต่ด้วยสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ไม่สามารถเดินต่อได้ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ที่ทำให้ทุกคนต้องเสียขวัญและกำลังใจ JSL หวังว่า ด้วยความจริงใจที่มีต่อพนักงาน และความร่วมมือระหว่างกัน เราจะสามารถช่วยกันแก้ไขปัญหายากลำบากนี้ให้ลุล่วงไปด้วยกันได้”

Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่า