‘มินอ่องหล่าย’ จัดงานเลี้ยง ท่ามกลางผู้ชุมนุมเมียนมาตายนับร้อย

‘มินอ่องหล่าย’ จัดงานเลี้ยง ท่ามกลางผู้ชุมนุมเมียนมาตายนับร้อย

มินอ่องหล่าย ผู้นำกองทัพสูงสุดพม่า จัดงานเลี้ยง เฉลิมฉลองวันกองทัพ ท่ามกลางประชาชนนับร้อยที่ถูกกองทัพสังหารอย่างโหดเหี้ยม เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา รัฐประหารเมียนมา – เมื่อวันที่ 29 มีนาคม สำนักข่าว BBC รายงานว่า พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ประธานสภารัฐประหารของประเทศเมียนมา และนายพลได้ร่วมจัดงานเลี้ยง เพื่อเฉลิมฉลองวันกองทัพเมียนมา แม้ว่าในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีประชาชนถูกสังหารทั่วประเทศกว่าร้อยศพก็ตาม

โดยภาพที่ปรากฏบนสื่อท้องถิ่นแสดงให้เห็นว่า มินอ่องหล่าย 

ได้สวมชุดสีขาวพร้อมผูกโบว์สีดำ เดินบนพรหมแดง พร้อมทักทายผู้ร่วมงานด้วบใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จากภาพดังกล่าวได้สร้างความไม่พร้อมใจให้กับประชาชนและผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก ซึ่งวันกองทัพเมียนมา ถือเป็นวันที่เฉลิมฉลอง กองทัพที่ร่วมการต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นที่เข้าปกครองประเทศในช่วงปี 2488 หรือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่ากองทัพได้ทำการสังหารประชาชนมากกว่า 100 ศพ ซึ่งประชาชนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมทั้งในการชุมนุม และในบางส่วนที่บ้านพักของตนเอง และทำให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งทะลุ 400 ศพ นับตั้งแต่การชุมนุมที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

สถานการณ์ชุมนุมประท้วงในประเทศเมียนมา ยังคงร้อนระอุอย่างต่อเนื่องและลากยาวไปสัปดาห์ที่ 7 หลังจากที่ พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ได้ยึดอำนาจ พร้อมจับกุมนาง อองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา ในข้อหาโกงการเลือกตั้งเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งพล.อ. มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมารับปาก จะจัดการเลือกตั้งทันทีหลังยึดอำนาจ 1 ปีตามที่ประกาศเอาไว้

นักวิทยาศาสตร์ในประเทศ อินเดีย ออกมาเปิดเผยว่าพวกเขาพบ โควิดกลายพันธุ์คู่ ในเชื้อไวรัส ทางการเร่งสืบความรุนแรงและอัตราการแพร่เชื้อ

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม สำนักข่าว BBC รายงานว่า สมาคมศึกษาจีโนมเชื้อจากโรคโควิดในอินเดียเปิดเผยว่าพวกเขาพบ โควิดกลายพันธุ์คู่ (Double Mutation) หรือ การเปลี่ยนแปลงสองตำแหน่งในรหัสพันธุกรรมของไวรัสตัวเดียว ในกลุ่มผู้ป่วยราวๆ 771 ราย จากกลุ่มกลุ่มตัวอย่าง 10,787 ราย ใน 18 รัฐทั่วประเทศอินเดีย

ซึ่งจากการตรวจสอบจำนวนดังกล่าว เป็นไวรัสกลายพันธุ์ที่พบในอังกฤษ 736 ราย ตามด้วยไวรัสกลายพันธุ์จากแอฟริกาใต้ 34 ราย และไวรัสกลายพันธุ์จากบราซิล 1 ราย

โดยนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการกลายพันธุ์คู่นั้นส่งผลให้เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวโปรตีน (Spike Protein) ง่ายขึ้น และผ่านตัวรับบนผิวเซลล์ไปพร้อมๆ กัน โดยมันถูกพบครั้งแรกที่เมืองนาคปุระ รัฐมหาราษฏระ เมื่อเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว และตอนนี้พบว่ามีอยู่ประมาณร้อยละ 20 ของจำนวนผู้ป่วยในรัฐดังกล่าว

ขณะนี้ทางการกำลังตรวจสอบว่า การกลายพันธุ์คู่ สามารถส่งผลให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายเร็วขึ้น หรือ ส่งผลให้ศักยภาพของวัคซีนป้องกันโควิดลดลงหรือไม่ นอกจากจะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าไวรัสที่มาจากการกลายพันธุ์คู่อันตรายกับผู้ป่วยเมื่อเทียบกับไวรัสทั่วๆไป อย่างไรก็ตามทางการยืนยันว่าการค้นพบครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับยอดผู้ป่วยที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงนี้

EU จี้ผู้ผลิต ‘แอสตราเซเนกา’ ส่งวัคซีนให้ทันตามกำหนด

สหภาพยุโรป หรือ EU ได้ออกมากดดันผู้ผลิตวัคซีน แอสตราเซเนกา อีกครั้ง หลังจากที่ทาง EU ชี้ว่าทางบริษัทผลิตไม่ทันตามที่กำหนด

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ สำนักข่าว BBC รายงานว่า ประธานคณะกรรมการยุโรป ได้ออกมากดดันผู้ผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกาวัคซีนต้านโควิด-19 ให้ทำการจัดส่งวัคซีนให้ทันตามที่กำหนดไว้ในสัญญา หลังจากที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปหรือ EU ประสบปัญหาฉีดวัคซีนโควิดไม่เข้าเป้าตามที่ตกลงกันไว้

โดยประธานคณะกรรมการได้กล่าวว่า “เห็นได้ชัดเจนว่า บริษัทผู้ผลิตแอสตราเซเนกาต้องเร่งผลิตวัคซีนให้ทันตามที่กำหนด ก่อนที่ประเทศสมาชิก EU จะสามารถจัดส่งวัคซีนต้านโควิดได้อีกครั้ง”

อย่างไรก็ตามด้านบริษัทแอสตราเซเนกาได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าพวกเขาได้ทำการขนส่งวัคซีนได้ทันกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาระหว่างบริษัทและกลุ่มประเทศสมาชิก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหภาพยุโรปและผู้ผลิตวัคซีนแอสตราเซเนกามีข้อพิพาทด้านปัญหาการผลิต เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนมกราคม คณะกรรมการสุขภาพประจำสหภาพยุโรป หรือ EU ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์แสดงความไม่พอใจ หลังจากเข้าพบกับบริษัท แอสตราเซเนกา ผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 เพื่อหาข้อสรุป หลังจากที่ แอสตราเซเนกา ประสบปัญหาในการผลิต ส่งผลให้จำนวนการฉีดวัคซีนน้อยกว่าที่วางไว้

ซึ่งทาง EU ต่อว่าทางบริษัทว่า ไม่มีคำอธิบายชัดเจน พร้อมระบุอีกว่าผู้ผลิตวัคซีนมีหน้าที่ทำตามความรับผิดชอบที่เขาได้รับมอบหมาย

ตามที่กล่าวไป Lou Ottens ได้เสียชีวิตลงที่บ้านพักของเขาที่หมู่บ้าน Duizel ณ จังหวัดนอร์ทบราแบนต์ (Noord-Brabant) เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2564 โดยสาเหตุการเสียชีวิตนั้นยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการในเวลานี้

Credit : ที่เที่ยวญี่ปุ่น | จัดอันดับต่างๆ | รีวิวของแบรนเนม | วิธีการลงทุนต่า